สัญญาณอาการ “มะเร็งตับ” ที่เราต้องสังเกตตัวเอง

มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากอะไร?

มะเร็งตับเป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในตับเริ่มเจริญเติบโตอย่างไม่ปกติและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของตัวเอง โรคมะเร็งตับสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุหลักที่พบบ่อยคือเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและชนิดซี (Hepatitis B และ Hepatitis C) ที่เข้ามาติดตัวกับเนื้อตับและทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งตับได้ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอย่างมาก การเป็นโรคตับอื่น ๆ เช่น โรคตับแข็ง, โรคเรื้อรังตับ, โรคตับอักเสบอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่ดี เช่น การสูบบุหรี่และการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง

สัญญาณอาการอันตรายของโรคมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะต้น ๆ ของการเป็นโรค แต่เมื่อโรคเริ่มแพร่กระจายและเข้าสู่ระยะที่มากขึ้น บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งตับได้ เช่น

  • ความเมื่อยล้าและอ่อนเพลียที่ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
  • ความไม่สบายใจและอารมณ์เสีย
  • อาการท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน หรือท้องเสีย
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ใส่ใจกับการลดน้ำหนัก
  • อาการปวดท้องด้านขวาบนหรือรู้สึกหนักหรือแสบร้อนใต้ลิ้นปี่
  • เลือดออกมากจากแผลบาดเจ็บหรือเลือดออกเยอะแต่ไม่มีอาการบวมหรือแดงของผิวหนัง

หากพบว่าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

ปัจจัยใดที่ช่วยเสริมให้เกิด ‘มะเร็งตับ’ ?

การเกิดมะเร็งตับนั้นสามารถได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา นอกเหนือจากการติดเชื้อเช่นไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก เรายังควรระวังปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดมะเร็งตับด้วย ดังนี้

การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งตับ ซึ่งสารเคมีที่พบในบุหรี่อาจทำให้เซลล์ในตับเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ

การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง: การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งตับ เพราะไขมันที่สูงอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและเซลล์ตับ

สารเคมีในสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นพิษภายนอกตัว เช่น สารเคมีในสภาพแวดล้อมหรือที่ใช้ในการผลิต อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์ในตับและเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งตับ

ใครที่ต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง ‘มะเร็งตับ’ ?

การตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเพื่อการตรวจจับโรคในระยะเริ่มต้น สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบไปด้วย

ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี: คนที่เคยเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งตับ จึงควรตรวจสอบเป็นประจำ

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งตับ: การมีญาติที่เคยเป็นมะเร็งตับในครอบครัวยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อการตรวจสอบและการรักษาที่เหมาะสม

ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งหรือโรคตับเรื้อรังตับ: โรคตับแข็งหรือโรคตับเรื้อรังตับสามารถเสริมความเสี่ยงให้กับมะเร็งตับได้ ควรตรวจสอบเป็นประจำ

ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ: การดื่มแอลกอฮอล์อย่างเสี่ยงทำให้เกิดการทำลายเซลล์ตับและเพิ่มความเสี่ยงให้กับมะเร็งตับ ควรตรวจสอบเป็นประจำ

ผู้ที่มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่ดี: พฤติกรรมเช่น การสูบบุหรี่หรือการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงสามารถเสริมความเสี่ยงให้กับโรคมะเร็งตับ ควรตรวจสอบเป็นประจำ

มะเร็งตับ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

การรักษามะเร็งตับจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคและขั้นตอนที่โรคได้เจริญไปแล้ว ตามนั้น การรักษาอาจแบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้

การผ่าตัด: ในระยะเริ่มต้นของมะเร็งตับ ผ่าตัดอาจถูกนำเข้ามาเพื่อลบเซลล์มะเร็งออกไปในขณะเดียวกันทำการตัดต่อส่วนของตับที่เป็นมะเร็งออก

รักษาด้วยเคมีบำบัด: สารเคมีเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยใช้ยาเคมีที่มีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็ง

การรักษาด้วยรังสี: รังสีเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษามะเร็งตับ โดยใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งในตับ

การปลูกถ่ายไขกระดูก: วิธีนี้ใช้ในระยะที่มะเร็งตับเริ่มแพร่กระจายไปยังไขกระดูก โดยนำเอาเนื้อเยื่อไปปลูกถ่ายในที่อื่นที่พร้อม รวมถึงการทำการปลูกถ่ายไขกระดูก

ในทุกกรณี การรักษามะเร็งตับจำเป็นต้องใช้การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาและคุ้มครองสุขภาพตับอย่างเหมาะสม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *